วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทางสายใหม่


       หากตัวเราเปิดใจรับฟังเรื่องราวใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ โอกาสของโลกทัศน์เราก็จะกว้างไกลมากขึ้น มุมมองในการทำธุรกิจ ทุกแห่งทุกที่มีโอกาสรอคอยบุคคลที่กระหายการไขว่คว้า การมีเป้าหมายแต่ละครั้งเริ่มต้นจากความคิด นำมาวางเป็นแผนการ พร้อมเข้าสู่การปฏิบัติงานอย่างจริงจังต่อเนื่อง เมื่อตรวจสอบแล้วบรรลุผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ทำการปรับปรุงใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม ปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งที่มุ่งหวังไว้นั้นก็สามารถบรรลุความสำเร็จได้

ก้าวสำคัญของชีวิต
นึกถึงตอนเริ่มต้นใหม่ๆที่ตัดสินใจว่าจะออกสู่ทะเลกว้างของการทำงานภาคสนามในระดับมวลชน คนเรามักมีข้ออ้างเสมอเวลาที่จะทำให้ตนเองดูดีในหมู่เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน ในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ช่วงเวลาเหล่านี้อะไรๆก็ดูมีอุปสรรคไปหมด นักขายประกันชีวิตรายปีที่เริ่มให้ความสนใจไปเรียนรู้การขายประกันชีวิตแนวการขายรายใหญ่มากขึ้น เช่นการวิเคราะห์ความต้องการทางการเงินให้ลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายรายใหญ่ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวแทน ของทีมงาน และช่วงปีนั้น ประมาณปี 2536 ทางทีมงานหน่วยชุมทอง 24 ยูของเราได้เปิดการขายประกันออมทรัพย์รายเดือนให้กับหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจอยู่หน่วยงานหนึ่ง เป็นช่วงเริ่มต้น เป็นช่วงของวันเวลาที่ใครๆก็ยังไม่รู้จักสินค้าแบบนี้ แม้แต่การประชุมร่วมกันของทีมงาน เมื่อถึงคราวตั้งเป้าหมายการนำส่งผลงานทั้งปี ใครที่ตั้งเป้าหมายต้องการมีผลงานอนุมัติ 70 ราย-100 รายก็นับว่าเป็นบุคคลที่น่าจับตามอง แสดงว่าจะต้องเป็นคนมุ่งมั่น และทุ่มเทอย่างที่สุด เพราะแต่ละเดือนแปลว่าต้องมีงานอนุมัติ 8-10 ราย จึงจะไปได้ถึงฝั่งฝัน แต่มีคนๆหนึ่งที่เวลาประกาศเป้าหมายว่าปีนี้จะทำให้ได้ 1,000 ราย พวกเราที่อยู่ในห้องประชุมก็จะพากันตกใจ และเริ่มคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่พี่คนนี้ที่พวกเราเรียกว่าพี่จ้อย (คุณปรีชา จ้อยสูงเนิน) ก็ยืนยันว่ามีความเป็นไปได้ บางทีอาจมากกว่านี้ ทำให้พวกเราต้องเฝ้าติดตามเป้าหมายที่ซุปเปอร์ใหญ่ตัวนี้ว่าจะเป็นจริงแค่ไหน?
      ไม่น่าเชื่อครับว่า งานรายเดือนที่พี่จ้อยของพวกเรามีความสัมฤทธิ์ผล ทำให้เกิดงานอย่างต่อเนื่อง เป็นที่สนอกสนใจของหน่วยอื่นๆในตึกสำโรง จนหน่วยเพื่อนๆ ในตึก มาขอความรู้จากหน่วยชุมทอง 24 ยูผู้เป็นต้นตำรับ และนำไปทำในภาคสนาม เป็นหน่วยงานราชการครู พวกเราเริ่มมีช่องทางความสำเร็จมากขึ้น มากขึ้น แน่นอนครับ เมื่องานดี สร้างรายได้เด่น เป็นประจำ ยิ่งทำยิ่งมัน ยิ่งทำยิ่งเกิดการขยายองค์กรต่างๆ ของหน่วยงานอื่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทีมงานแห่งจังหวัดสมุทรปราการพากันออกเดินทางจับจองไปทั่วสารทิศ จากจังหวัดใกล้ๆในเขตกรุงเทพฯ ขยายออกสู่ต่างจังหวัดไกลออกไป และไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ
      "ไม่ไปทำออมทรัพย์รายเดือนกับเขาบ้างหรือ?" คำถามจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งถามขึ้นระหว่างช่วงเวลาสบายๆ "อ้อ! ไม่ไปหรอกครับ ลูกกำลังเรียน เช้าต้องขับรถไปส่งลูก เย็นต้องรีบกลับจากทำงานเพื่อมารับลูกให้ทัน และส่วนมากก็พาลูกไปตีแบดออกกำลังกาย คงไปไหนไม่ได้หรอก" ตอบไปแบบนี้ ดูดีและเป็นแฟมิลี่แมนมาก
        ใครๆก็รักครอบครัว ใครๆก็มีเหตุผลของตนเองทั้งนั้น แต่ในเหตุผลที่ดูดีนั้นมีเหตุผลที่แท้จริง หรือมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังมากน้อยแค่ไหน บางเหตุผลบอกใครไม่ได้ บางเหตุผลเปิดเผยไม่ได้ เพราะบางอย่างเป็นเรื่องที่แสดงถึงความไม่พร้อมของตัวเรา ... ใช่แล้วครับ แม้ว่าเราจะอยากออกไปทำงานแบบพวกเขาที่พากันไปทำออมทรัพย์รายเดือน มีตัวเลขเข้ามาเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง แต่เราก็ค้นพบว่าในสถานการณ์วันนี้ คนของเราเหลือน้อยเหลือเกิน คนที่เคยอยู่กับเราในช่วงแรกๆ พากันยุติการทำงานไปหลายต่อหลายคน เพราะความยากของงาน การทนต่อแรงเสียดทานของคำปฏิเสธที่พบซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้ การขาดแคลนในเรื่องรายได้ ที่เคยมองว่าสวยหรูเวลาที่เห็นผู้อื่นได้รับ แต่ทำไมตัวเราจึงไม่มีโอกาสเช่นนั้นบ้าง? ใช่จริงๆด้วยคนของเราหายไปไหนกันหมด......


ย้อนกลับมาดูภาระค่าใช้จ่ายประจำวัน ประจำสัปดาห์ และประจำเดือน อาหาร ที่อยู่อาศัยที่เราต้องผ่อนชำระอย่างต่อเนื่อง เป็นความรับผิดชอบที่ปฏิเสธไม่ได้ อาชีพของเรางดงามมากในยามที่เราสามารถสร้างลูกค้าใหม่ๆได้ แต่เมื่อเราหยุดทำงานหรือทำน้อยลง รายได้ที่ควรจะได้ก็พลอยหยุดไปด้วย ไม่เหมือนงานประจำแบบราชการ หรือเอกชนที่วันมีหยุด มีวันลาพักผ่อน มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ เราก็ยังรับเงินเดือนเท่าเดิม มีโอกาสรับเงินเพิ่มขึ้นทุกปี หากความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ก็รับกันไปหนึ่งขั้น แต่ละขั้นรับเงินเพิ่มอีกเท่าไร ก็ว่าไปตามอัตราของหน่วยงานที่ตนเองสังกัด
    หากความจำเป็นในเรื่องรายจ่ายยังคงมีต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้มีการปรับลดลงบ้าง ถ้าเราไม่สร้างงานใหม่ หรือสร้างคนใหม่มาสร้างงาน โครงการออมทรัพย์รายเดือนจึงกลายเป็นทางเลือกให้พวกเราต้องนำมาพิจารณา แม้ว่าคนของเราจะมีน้อย แต่ก็ควรจะลองดูสักตั้ง ทีนี้เริ่มหันมามองหาตลาดกันดีกว่า จะไปทางไหนดีล่ะ ใกล้ๆ เพื่อนๆของเราก็กวาดไปเรียบ ขยับไปอีกหน่อย ก็จับจองได้สิทธิ์มาอวด มาโชว์เชิงบอกเล่าว่า ของฉันนะเธออย่ามายุ่ง เพราะพวกเรารู้จักกัน ให้เกียรติกัน ผมเองจึงย้อนกลับมาคิดถึงดินแดนที่แสนไกล ดินแดนแห่งอดีตที่เคยได้ใช้ชีวิตการรับราชการในช่วงเวลาหนึ่ง "ฤาว่าเราต้องกลับไป" รำพึงกับตนเอง รู้ทั้งรู้เส้นทางช่างแสนไกลเหลือเกิน เมื่อครั้งรับราชการเป็นทหารเรือนั้นกว่าจะไป กว่าจะกลับ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ที่ไปก็เพราะหน้าที่ มีภารกิจ ...... มาถึงวันนี้ จำใจต้องไปเพราะรายได้ที่คาดหวัง ความฝันที่เกิดขึ้นมาใหม่ เอาละ เพราะโชคชะตา เป็นเรื่องที่เราไม่มีโอกาสจะมองเห็นได้ก่อน มีแต่ความหวังที่เราจำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อรักษาสถานะของครอบครัว ต้องสร้างรายได้เพื่อให้ลูกๆทั้งสามคนได้มีโอกาสทางการศึกษา เติบโตไปในวันข้างหน้า สร้างงาน สร้างอาชีพต่อไป .... ต้องไป
         โชคดีเหลือเกิน จังหวัดที่ผมตัดสินใจเลือกครั้งแรกคือจังหวัดนครพนม ดินแดนที่ไกลสุดเขตแดนสยาม ห่างไกลจากจังหวัดที่เพื่อนพ้องจับจองการทำงานกันไว้ ผมได้แวะกราบแม่แดง คุณแม่อรอรัก จิระปิตุพงศ์ ที่ช่วยแนะนำการเข้าพบผู้ใหญ่ของหน่วยงาน โดยท่านเคยรับราชการ ณ แห่งนี้มาก่อน ด้วยความอนุเคราะห์จากท่านผู้อำนวยการสำนักงานการประถมศึกษา ที่เล็งเห็นคุณค่าของการเสริมสร้างสวัสดิการให้กับข้าราชการในสังกัด ท่านจึงเซ็นอนุญาตให้ทำการประชาสัมพันธ์ได้ ผมจึงหอบความยินดีเดินทางกลับกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมเอกสารต่างๆ นำมาร่วมประชุมในโอกาสต่อไป โดยก่อนเดินทางกลับ แวะเยี่ยมยามถามข่าวจากพี่น้องครูอาจารย์ที่เคยร่วมกิจกรรมในอดีต เป็นการโยนหินถามทางเรื่องการประกันชีวิต และพบว่าตลาดของข้าราชการมีโครงการอะไรต่างๆมามากมายแล้ว ใครเขาจะมีเงินเหลือมาซื้อประกัน มาทำประกันชีวิตกับพิชิตกันล่ะ พิชิตเอ๋ย ?
แบกความดีใจมาส่งใบตอบรับยังฝ่ายออมทรัพย์รายเดือน และบอกความประสงค์จะทำทั้งจังหวัด พบเงื่อนไขใหม่คือเพียงมีสิทธิ์แค่อำเภอเมืองเท่านั้น ทำให้เราสงสัยว่าแล้วเพื่อนๆเราไฉนจึงได้สิทธิ์ทั้งจังหวัด คำตอบคือทีมอื่นคนเยอะเลยใช้สิทธิ์ทำขยายได้ครอบคลุมทั้งจังหวัด บทเรียนแห่งชีวิตกำลังได้รับการเรียนรู้ ชื่อเสียงยังไม่มี บารมียังไม่ครอบคลุม แอบมองตัวเลขจังหวัดของเพื่อนที่ทำทั้งจังหวัดมียอดต่อเดือน 310,000 บาทเศษ เกิดความคิดขึ้นมาพลันว่า ถ้าเรามีตัวเลขขนาดนี้ เราคงเริ่มเป็นผู้มีบารมีบ้าง!!
      เป็นคราวเดียวกับที่พี่จ้อย พบกันแล้วทราบเรื่อง จึงเกริ่นว่า ทำไมไม่ทำ "จีอี" อะไรคือ GE และ GE คืออะไร ใช่ general extra หรือเปล่า ... เอาละๆ พี่จ้อยบอกว่า อีก 2-3 วันจะมีการประชุมของฝ่ายประกันหมู่ แนะนำสินค้า และทุกๆอย่าง ไปลองฟังดูไหม ผมตอบทันทีครับ "ไป" ทั้งๆที่ในอดีตเคยเดินผ่าน เคยเข้าฟังบ้าง    แต่เป็นการเข้าฟังภายใต้ความสนใจว่า ในการสัมนาครั้งนั้นๆ ช่วงท้ายมีการจับสลากแจกคอมพิวเตอร์ ตู้เย็น ทีวี ฯลฯ ทำให้การมาฟังการบรรยาย คือการนำร่างกายมา แต่ปราศจากจิตวิญญาณแห่งการรับรู้ ..... แต่ครั้งนี้ ครั้งที่โลกของเรากำลังจะเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ ก็ยังไม่รู้.... จึงตัดสินใจโทรศัพท์เข้ามาหาเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่เคยใส่ใจที่จะรู้จักมาก่อน โชคดีได้คุยกับคุณขวัญชาติ อินทกรณ์ ทำให้เกิดการนัดหมายคุยส่วนตัวก่อนสัมนาจริง ช่างน่าทึ่งอะไรสำหรับสินค้าตัวนี้ GE คือ Group Endowment ที่มีการสะสมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณของข้าราชการ พร้อมความคุ้มครองชีวิต พ่วงด้วยสวัสดิการคุ้มครองอุบัติเหตุ 100,000 บาท พร้อมค่าชดเชยรายวันอีกวันละ 500 บาท ฝากขั้นต่ำ 178 บาทก็ได้ สนุกละซิครับ เมื่อใจเปิด ความคิดก็บรรเจิด มีสีสัน ความมันส์กำลังจะเกิดขึ้น เริ่มเรียกร้องทีมงานในสังกัด ในเครือ ให้หันมามองสินค้าตัวนี้ ได้รับการขานรับระดับหนึ่ง นั่นหมายความว่าวันสัมนา พวกเราก็ตั้งใจมาเรียนรู้จากวิทยากรฝ่ายประกันหมู่ เป็นความตั้งใจตั้งแต่นาทีแรกจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ความรู้ที่ได้ พลังความคิดที่สร้างสรรค์ เกิดก่อตัวเรียงร้อยเป็นรูปร่าง เรากำลังจะพบกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เรากำลังจะรวยด้วยลูกค้า ทรัพย์สิน และอนาคตที่ยิ่งใหญ่ทางการตลาด เรากำลัง......ฯลฯ ผมเริ่มไม่ง่วง ไม่เพลีย ไม่เหนื่อย จิตใจถูกปลุกขึ้นมาฮึกห้าวเหิมหาญ จนคุณวาสนาต้องบอกว่า อย่าเพิ่งกังวลเรื่องตัวเลขโควต้าหน่วยนัก เดี๋ยวจะพาไปหาเพื่อน เผื่อจะขายรายใหม่ๆได้
  ผมตัดสินใจเรียกลูกๆทั้งสามคนมาประชุมอย่างค่อนข้างคล้ายจะเป็นทางการ เหมือนกับประชุมตัวแทนและบอกพวกเขาว่า "ลูกรัก...พ่อรักลูกๆทั้งสามคนเสมอ พ่อห่วงหนูทั้งสามคนตลอดเวลา เลือกได้พ่อจะอยู่ดูแลหนูไม่ให้คลาดสายตา และเฝ้าเข้มงวดให้ลูกๆขยันเรียน โดยปัจจุบันนี้ คะแนนที่ปรากฎพ่อก็ยังไม่คลายกังวลใจไปได้ แต่สถานการณ์ในวันนี้ ภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ หากพ่อยังคงอยู่ที่เดิม ดูแลลูกๆเช่นนี้ ไม่นาน ลูกก็คงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงกว่านี้ หรือได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีๆได้ การที่พ่อต้องออกเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดกับอาวาส เพื่อสร้างโอกาสในเรื่องรายได้ เพื่ออนาคตของทุกๆคน สิ่งที่ลูกๆจะทำให้พ่อชื่นใจได้ คือการเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ สิ่งที่จะเป็นเครื่องชี้วัดให้พ่อรับรู้ได้ คือเกรดการเรียนของลูกที่ปรากฏในกลางภาค และปลายภาค ลูกๆพอจะทำให้พ่อสบายใจได้ไหมลูก"
     พวกเขาพร้อมใจกันรับปาก และจากวันนั้น เส้นทางแห่งชีวิตของข้าพเจ้าก็ถูกเขียนขึ้นอย่างตั้งใจอีกครั้งหนึ่ง
"อ่านคำบรรยายจดหมายถึงพ่อ หนูยังรอวันพ่อกลับบ้าน กล้ามะละกอที่พ่อนั้นหว่าน แยกปลูกไม่นานลูกโตน่าดู....ทานตะวันชูคอ ชูช่อรออยู่ คงชะเง้อดูรอพ่อกลับมา กระถินริมรั้ว สูงขึ้นเลยบ่า ยอดกระดังงาเลื้อยลงประตู ทานตะวันชูคอ ชูช่อรออยู่ คงจะรอดูพ่อรวยกลับมา" ใช่แล้วครับ เพลงของอิ๊ด ฟุตบาท ที่ผมฟังแล้ว ฟังอีก ฟังอีก ฟังแล้ว แล้วก็เฝ้าฟัง น้ำตาใสๆก็ไหลออกมาเป็นบางครั้ง ใช่แล้วลูกเอ๋ย พ่อจะร่ำรวยกลับมา นอกจากอุดมการณ์ที่พ่อจะต้องทำ พวกเรายังจะต้องยืนหยัดอยู่ในสังคมด้วยความเป็นอยู่ และโอกาสในวันข้างหน้าที่ดีขึ้น 
      ถนนเส้นนั้น....สระบุรีเลี้ยวขวา เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่วิถีชีวิตของผมกำลังจะเปลี่ยนไป จากนักขายประกันชีวิตรายเดี่ยว ที่เติบโตมาจากนักขายประกันชีวิตรายปี ผลงานปีแรกมีลูกค้า 25 รายปี ปีที่สองมีผลงาน 78 ราย และปีที่สามสามารถสร้างผลผลิตได้ 72 ราย มีความสามารถติดคุณวุฒิระดับ MDC 2 ปีซ้อน แม้ไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่ด้อยค่าของความเป็นตัวแทนมืออาชีพ จากนักขายรายปีดังที่กล่าวมา คิดจะมาทำการขายประกันแบบออมทรัพย์รายเดือน ตามเพื่อนฝูงที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อน กลับเปลี่ยนแนวทางมาขายประกันกลุ่ม พบคนทีละมากๆ โดยต้องจัดการประชุมเป็นกลุ่มตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เราเดินกันคนละทาง สร้างดาวกันคนละดวง เพื่อผลพวงของความสำเร็จในชีวิตอันเป็นเป้าหมายของทุกคน
       ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2541 ที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการสวัสดิการประกันหมู่สะสมทรัพย์กองทุนเกษียณอายุ และได้ผ่านการประชุมกับผู้บริหารสูงสุดในระดับจังหวัด ได้รับการยอมรับจากทุกๆท่านเป็นอย่างดี ด้วยความเห็นชอบร่วมกันที่ให้โครงการนี้จัดเป็นสวัสดิการเพิ่มเติมให้กับข้าราชการแบบสมัครใจ โดยท่านประธานการประชุมได้หยิบยกเรื่องของการออกรบในสมัยบรรพกาลว่า ก่อนที่ขุนศึกจะออกทำการรบ กษัตริย์ในยุคบรรพบุรุษจะปลอบขวัญนักรบของพระองค์ว่า "จงออกไปรบอย่างเต็มกำลัง หากชีวิตของพวกเอ็งหาไม่แล้ว เราจักดูแลครอบครัวของพวกเอ็งอย่างดี" ทำให้ขวัญและกำลังใจของนักรบเหล่านั้น เปี่ยมไปด้วยพลัง พร้อมที่จะทำการรบเพื่อชัยชนะ เพื่อปกป้องประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่ง โดยไม่ต้องพะวงหลัง
เมื่อผมได้ผ่านขั้นตอนการประชุมระดับจังหวัดเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไป พวกเราเตรียมแผนงานเพื่อเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้บริหารระดับสำนักงานการประถมศึกษาระดับอำเภอ ซึ่งประกอบไปด้วยหัวหน้าการประถมศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์ใหญ่ ครูอาจารย์ต่างๆ เพื่อรับทราบผลประโยชน์ของโครงการประกันหมู่ นำไปบอกเล่าให้ข้าราชการในสังกัดของตนเองได้รับทราบ ดังนั้นทีมงานของผมที่จัดไปลงพื้นที่ รวม 4 ชีวิต โดยผมพาเลขานุการไปทำงานด้วยกัน ใช่แล้วครับ เราจำเป็นต้องปิดหน่วยชั่วคราว เพราะพวกเรากำลังตัดสินใจไปสร้างผลงานใหม่ เป็นงานที่พวกเรายังไม่มีความถนัด เรายังไม่รู้ว่า จะทำให้เป็นจริงได้แค่ไหน และความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ก่อนเดินทางตัดสินใจเขียนข้อความแปะไว้หน้าห้องทำงานว่า "ไปต่างจังหวัดทั้งทีมงาน มีธุระใดๆโปรดติดต่อ 152 เรียก 185787" พร้อมวงเล็บข้อความตัวเล็กๆไว้ว่า "ไม่สำเร็จ ไม่กลับ"
   เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับในช่วงการเริ่มต้น ที่เราสังเกตุว่า หน่วยงานราชการของครูอาจารย์ มักมีหน่วยงานของตำรวจอยู่ไม่ห่างไกลนัก ผมจึงตัดสินใจขอทำโครงการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมเพิ่มเติม เพื่อจัดทำไปพร้อมๆกัน ซึ่งกระบวนการนำเสนอครั้งแรก ก็ผ่านความเห็นชอบไปได้ ทำให้การไปประชุมตามอำเภอต่างๆของทีมงาน จึงมีเรื่องราวหลากรส หลายอารมณ์เป็นแบบผสมผสาน อ่อนน้อม และสุขุมในแบบฉบับการเสนอขายครูบาอาจารย์ แต่สนุกสนาน เข้มแข็งในยามถ่ายทอดให้กับข้าราชการตำรวจ
กลางปี 2541 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคม 2541 เป็นช่วงฤดูฝนที่ต้องเผชิญกับสายฝนที่ตกกระหน่ำในบางวัน และท้องฟ้าสดใสในช่วงเวลาต่อมา พวกเราทีมงานสี่ชีวิตได้พบกับความมีน้ำใจที่งดงามจากครูบาอาจารย์ทั่วทั้งจังหวัดนครพนม ทุกอำเภอ กิ่งอำเภอ ทุกหมู่บ้านที่พวกเราฝ่าสายฝน ลุยผ่านโคลนตมในบางครั้ง เพื่อเข้าไปประชุมแบบกระจายไปในแต่ละพื้นที่ ผ่านป่าเขาลำเนาไพร มองเห็นธรรมชาติที่สวยงามหลากหลาย ชาวบ้านในท้องถิ่นที่ห่างไกลปืนเที่ยง น้ำใสใจคอที่มีความเอื้ออารีต่อกัน ในยามสอบถามเส้นทางที่เราเริ่มหลงทิศที่จะไป แม้จะมีแผนที่ทางการศึกษาอยู่ในมือก็ตาม แต่แผนที่ที่มีนั้นเป็นภาพกว้างๆ เรียนรู้ที่จะทานอาหารพื้นเมือง เพื่อกลืนวิถีชีวิตของพวกเราให้เข้ากับผู้คนท้องถิ่น การต้อนรับที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจของผู้บริหารโรงเรียนทุกเขตพื้นที่ รวมทั้งหมด 13 อำเภอ ทุกๆโรงเรียนได้สร้างความประทับใจไว้ในความทรงจำของพวกเรา บ่อยครั้งที่พวกเราพูดคุยกันว่า วันนี้เป็นวันที่ทุกท่านให้โอกาสกับทีมงานของเราในการตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการประกันหมู่ เป็นเพราะพวกเขามีความเชื่อว่า พวกเรากำลังนำสิ่งที่ดี มีคุณค่ากับทุกๆคนในอนาคต ทุกท่านมีความหวังที่จะมีสวัสดิการเพิ่มเติมส่วนหนึ่งไว้ พร้อมกับการเก็บออมในจำนวนเงินที่เลือกได้ตามกำลังความเหมาะสมของแต่ละท่าน พวกเราจะต้องใส่ใจ ดูแล พัฒนาการบริการให้ดีมากขึ้นไปเรื่อยๆ พวกเราต้องมีปณิธานที่ชัดเจนในการทำงาน อย่าเพียงทำเพื่อผลประโยชน์ของงานที่พวกเราได้รับ แต่ต้องสำนึกถึงความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ที่จะต้องดูแลติดตาม เพื่อให้พวกเขาสมหวัง สมดังที่ตั้งใจเลือกเราเป็นตัวแทนของครูอาจารย์ 

        แต่ละวันของการเดินทางไกลจากตัวจังหวัดมากบ้าง น้อยบ้าง แม้จะเหน็ดเหนื่อยต่อการเดินทาง มากมายด้วยการตอบปัญหา ข้อสงสัยที่หลายๆท่านอยากรู้ และความไม่เชื่อถือในสัญญาบางอย่างที่จะเกิดขึ้นว่าจะซื่อสัตย์เป็นจริงได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลจากเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพบมาจากบางแห่ง บางที่ที่เคยสร้างวีรกรรมไว้ ได้สร้างความผิดหวังจนตราตรึงอยู่ในความทรงจำ พวกเราต้องอธิบายมากขึ้นจนทุกอย่างคลี่คลายในระดับที่บางท่าน ยอมตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ เป็นผู้ทดลองแทนกลุ่มเพื่อนที่ประวิงเวลาไว้ดูอนาคตว่าจะเป็นจริงเช่นที่กล่าวอ้างหรือไม่ พวกเราขับรถผ่านสถานที่มากมาย เมื่อมองไปยังด้านฝั่งโขง ประเทศลาว เพื่อนบ้านของเรา ธรรมชาติทิวเขาที่มองเห็นลิบๆเบื้องหน้าโน้น สร้างความสดชื่นขึ้นมาในหัวใจ ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก นึกถึงบทเพลงของพี่หงา คาราวาน "ใกล้ตา ไกลตีน" ที่เคยร้องไว้ในอดีต และคุณสุนทรี เวชานนท์ ที่เคยร้องไว้เช่นเดียวกัน เนื้อหาบทเพลง ดังก้องอยู่ในหัวใจตลอดเวลา 
"ไกลโอ้ไกล จากโพ้นขอบฟ้า 
                           เรา...จากมาด้วยการก้าวย่าง 
                           จากกลิ่นฟาง รอยยิ้ม เจ้าเอย
ใครเล่าเคย ใครเล่าเคย พี่น้องเอ๋ย ... จะเล่าให้ฟัง
ตามทิวเขา ที่ยาวเหยียดฟ้า ตามหมู่ปลา ลำธารใสสด 
                    ตามหมู่มด ที่ร้างเลิกรัง ไปจากหลัง 
                   ใจฝากฝัง ฝากเจ้าไว้ ในแผ่นดิน
ดินเคยนอน สะท้อนอุ่นกาย มองยอดไม้ เมื่อยามแรกผลิ 
                            ปริกิ่งรวง เป็นพวงพุ่มใบ น้ำที่ไหล หลั่งลงจากดอย 
                            ใจเจ้าลอย ไปสู่ท้องทุ่ง มุ่งสู่เมือง เฟื่องฟุ้งแปลกตา
เจ้าเคยยิ้ม เคยแย้มเบิกบาน สนุกสนาน ท่ามกลางผองเพื่อน 
                   เคยพูดเตือน และสนทนา เจ้าเคยฝันถึงวันที่ดี 
                   มาบัดนี้ไม่อาจพบหน้า ดูใกล้ตา แต่แล้วไกลตีน
แผ่นดินที่หอม แผ่นดินที่ตรอม จะกอดเจ้าไว้ 
                            ยังไออุ่นกัน รักเจ้าไว้ ยังไออุ่นกัน 
                            ฝันเจ้าฝันให้ไกลที่สุด เจ้ามนุษย์ เจ้าหวังสิ่งใด
รักเจ้าไว้ ยังไออุ่นกัน ฝันและฝันให้ไกลที่สุด 
                            เจ้ามนุษย์ เจ้าหวังสิ่งใด"



ตั้งแต่เริ่มทำการประชาสัมพันธ์โครงการ ผมตัดสินใจว่า การเดินทางตลอดเส้นทางนอกจากมีโรงเรียนเป็นจำนวนมากที่มีอยู่ในทุกแห่งแล้ว สถานีตำรวจเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีควบคู่กันไปเสมอในแต่ละอำเภอ กิ่งอำเภอ จึงประสานงานกับกองบังคับการทางจังหวัดเพื่อรับทราบแนวทางการจัดประชุมของแต่ละสถานี เพื่อหาโอกาสเสนอโครงการ GE180 ไปพร้อมๆกับหน่วยงานของข้าราชการครู การเข้าพบเพื่อนำเสนอโครงการให้กับข้าราชการตำรวจ แรกๆ พวกเราก็มีความประหม่า กลัวว่าท่านทั้งหลายที่มีความน่าเกรงขามด้วยหน้าที่ของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นผู้ถือกฎหมาย รู้กฎหมายสารพัด จะเออออห่อหมกเห็นด้วยกับการประกันหรือไม่ ตั้งแต่วัยเด็กพ่อเคยสอนเสมอว่า "อยากได้ลูกเสือ ต้องเข้าถ้ำเสือ" สถานการณ์ในตอนนี้ เมื่อพวกเรามีความตั้งใจที่จะมาสร้างสวัสดิการ พร้อมที่จะเป็นวีรบุรุษของหญิงหม้ายและเด็กกำพร้า หรือได้เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับในบั้นปลายของชีวิตของพวกเขาในวันที่ถึงวันเกษียณอายุราชการ เมื่อมองภาพตรงนี้ชัดเจนในสิ่งที่พวกเรากำลังทำ เป็นการสร้างความดีงามที่ต้องอาศัยความเพียร ไฉนเลยจะต้องมาหวาดกลัว นั่นเป็นการสร้างกำลังใจในการทำงานของพวกเรา และมีพลังภายในจิตใจเกิดขึ้น พร้อมที่จะนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับข้าราชการตำรวจได้รับทราบอย่างทั่วถึงและทุกสถานี ทำให้ค้นพบว่า ตำรวจทุกนายมีอัธยาศัยที่ดีงาม และเป็นมิตรกับประชาชน พร้อมให้ความร่วมมือ มอบความไว้วางใจให้ทีมงานของพวกเราได้ดูแล อีกทั้งผลพวงของโครงการสวัสดิการประกันหมู่ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการครู ยังสอดคล้องร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว เพราะคุณตำรวจผู้เข้าร่วมทำโครงการ ได้ตัดสินใจยกผลประโยชน์ให้กับภรรยาที่เป็นข้าราชการครู พร้อมๆกับข้าราชครูผู้เข้าร่วมทำโครงการประกันหมู่ ยกผลประโยชน์ให้กับสามีผู้เป็นตำรวจ และลูกรัก ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนอบอุ่นเหลือเกิน 
เมื่อวันที่พวกเราเริ่มต้นทำงานในวันแรกๆ สำหรับการขายประกันหมู่ นับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่พวกเราต้องเรียนรู้ แนวทางที่จะทำการขาย ซึ่งการขายประกันหมู่จะไม่เหมือนกับการขายประกันชีวิตแบบรายปี การขายรายปีเป็นการพูดคุยแบบตัวต่อตัว เป็นการค้นหาความต้องการแบบเฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นคนโสดเน้นการสร้างความคุ้มครองและการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณอายุ คนมีครอบครัวเน้นการสร้างความคุ้มครองเป็นหลัก ปกป้องความสามารถในการหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว ด้วยการเตรียมเงินจำนวนหนึ่งไว้ ยามที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เงินจำนวนหนึ่งที่เตรียมไว้ ได้กลายมาเป็นเงินสำรองไว้ให้ครอบครัวได้ใช้จ่ายไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทำทุนประกันไว้มากหรือน้อย ตามกำลังทรัพย์ที่สามารถจ่ายเบี้ยประกันแบบชำระรายปี,รายงวด 6 เดือน,รายงวด3 เดือนเข้ามาได้ ส่วนการขายประกันแบบออมทรัพย์รายเดือน เน้นการสร้างความเข้าใจเป็นกลุ่มเพื่อให้ผู้สนใจ มีความเข้าใจในสินค้า สอบถามรายละเอียดในเรื่องต่างๆที่ผู้รับฟังสงสัย เมื่อผู้เข้าร่วมรับฟังต้องการเข้าร่วมโครงการ การกรอกใบสมัครต้องสอบถามข้อมูลรายบุคคลอย่างละเอียดตั้งแต่ชื่อ สกุลผู้สมัคร คู่สมรส สถานที่อยู่ ที่ทำงาน ตำแหน่งหน้าที่ ความรับผิดชอบ ประวัติด้านสุขภาพ ผู้รับประโยชน์ พร้อมด้วยข้อมูลอื่นๆ ที่สำคัญรวมเอกสารที่ต้องกรอกประมาณสี่หน้ากระดาษ และสำเนาบัตรประชาชน บัตรข้าราชการ หรือสำเนาทะเบียนบ้านที่พิสูจน์ความสัมพันธ์ของผู้รับประโยชน์ จึงเห็นได้ว่าการขายออมทรัพย์รายเดือน กับการขายประกันชีวิตรายปี ด้านข้อมูลการกรอกรับสมัครไม่มีความต่างกัน มีความต่างในเรื่องการชำระเบี้ยประกันที่รายเดือนจ่ายน้อยกว่า เพราะนำเบี้ยประกันรายปีเต็มจำนวน มาคำนวณจ่ายต่อเนื่อง 12 งวด  ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจ นำเสนอได้คราวละหลายๆคน มีการหักบัญชีผ่านหน่วยงานต้นสังกัด โดยผู้สมัครต้องให้ความยินยอมในการหักเบี้ยประกัน และการทำงานประชาสัมพันธ์ พร้อมกับการกรอกรับสมัครต้องใช้คนทำงาน 3-4 คนขึ้นไป เพราะในการประชุมชี้แจงให้คนรับฟังคราวละมากๆ หากมีผู้สนใจต้องการเข้าร่วมโครงการหลายคน การรับสมัครแต่ละคนใช้เวลากรอกข้อมูลมาก การสนองตอบความต้องการไม่ทันใจทันเวลา อาจทำให้ผู้ที่อยากทำประกันเปลี่ยนใจได้ง่าย ดังนั้นการใช้คนในการออกภาคสนามต้องมีคนมากพอต่อการทำงาน
งานขายประกันหมู่เป็นงานใหม่จริงๆ สำหรับพวกเรา แต่ช่วงเวลานั้นสินค้าประกันหมู่เป็นสินค้าที่มีมานานมากแล้ว มีเพียงกลุ่มคนจำนวนน้อยมากที่ให้ความสนใจในการนำสินค้าประกันหมู่เสนอต่อหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ  ยังไม่มีการแนะนำวิธีการทำตลาดอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ทีมงานของเราต้องนำประสบการณ์ในการทำงานขายประกันชีวิต นำแนวทางการขายแบบออมทรัพย์รายเดือนมาประยุกต์ใช้แบบผสมผสาน และเริ่มเรียนรู้กระบวนการต่างๆในสถานการณ์จริงของการทำงานในแต่ละวัน 
เมื่อผ่านกระบวนการนำเสนอให้กับผู้บริหารในที่ประชุมระดับอำเภอเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่ต้องลงพื้นที่ปฏิบัติการจริงตามโรงเรียนทุกโรงเรียนที่ผมเองได้วางแผนการทำงานในแต่ะละวัน ยุทธวิธีที่ผมนำมาเลือกใช้คือการทำงานแบบกระจายกลุ่มในพื้นที่สามเหลี่ยม เช่นแห่งที่หนึ่ง แห่งที่สอง แห่งที่สาม อยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมหน้าจั่ว โดยเน้นโรงเรียนที่มีข้าราชการจำนวนมากกว่าไปหาน้อย พร้อมเตรียมกลุ่มสามเหลี่ยมชุดที่สอง ชุดที่สาม ชุดที่สี่ เพื่อทำงานต่อเนื่องในแต่ละวัน เป็นการเดินทางอย่างทั่วถึงแบบกระจายทุกพื้นที่แบบวงกว้าง และทำสลับกันวันละอำเภอ เพื่อสร้างกระแสข่าวสารเป็นการกระเพื่อมข้อมูลในเกิดการรับรู้อย่างเป็นระบบ ด้านเอกสารการนำเสนอโครงการพร้อมตัวอย่าง ถูกนำเข้าช่องรังผึ้งของทุกโรงเรียนในอำเภอนั้นๆ ทุกวันจะมีเจ้าหน้าที่จากโรงเรียนมารับเอกสารนำกลับไปให้ผู้อำนวยการ,อาจารย์ใหญ่ ของแต่ละโรงเรียน ได้รับทราบและแจ้งให้คณะครูอาจารย์ทราบว่ามีเรื่องราวใดบ้างที่น่าสนใจ เมื่อใช้เวลาประมาณ 2-3 วันผ่านไป ยามที่พวกเราได้เข้าไปขออนุญาตทำการประชุมเพื่อชี้แจงข้อมูลโครงการสวัสดิการประกันหมู่ จึงได้รับการต้อนรับจากผู้มีอำนาจในสถานที่แห่งนั้นๆ และได้รับความร่วมมือจากครูอาจารย์เข้าร่วมรับฟังโครงการที่ควรจะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่มีความสมัครใจเข้าร่วมโครงการ
เริ่มประชุมชี้แจงในวันแรกๆ พวกเราไปพร้อมกันทั้งสี่คน ผมเป็นผู้นำเสนอให้ที่ประชุมได้รับทราบ โดยท่านผู้อำนวยการโรงเรียน หรืออาจารย์ใหญ่ หรือครูใหญ่ หรือผู้ช่วยที่รักษาการณ์แทน เป็นประธานในการประชุม ทุกๆแห่ง ทุกๆที่ ทุกท่านได้ให้ความเมตตากับทีมงานของพวกเราอย่างมาก
เมื่อตอบข้อซักถามจนคลายความกังวล สงสัย และเกิดความมั่นใจว่า โครงการสวัสดิการประกันหมู่ ส่วนหนึ่งของเงินที่มีการหัก ณ ที่จ่าย เงินส่วนแรกเป็นเงินออมที่จะได้รับเมื่อวันครบกำหนดวันเกษียณอายุ ออมน้อยได้น้อย ออมมากได้มาก ตั้งแต่การออม 100 บาทถึง 2,000 บาท นอกจากการออมเงินแล้วผลตอบแทนของการออมเงินส่วนนี้ ยังเพิ่มค่าความคุ้มครองด้านทุนประกันชีวิตให้เติบโตไปด้วย สำหรับทุนประกันที่ให้ความคุ้มครอง ขึ้นอยู่กับแผนที่เลือก 100,200,300,400,500.....2,000 บาท ส่วนที่สองเป็นด้านสวัสดิการ 78 บาท ได้รับสวัสดิการความคุ้มครองอุบัติเหตุจากรถยนต์ชนกัน ฆาตกรรม ลอบทำร้าย ขับขี่ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ อุบัติเหตุทั่วไป และอุบัติเหตุขณะมึนเมาสุรา วงเงินคุ้มครอง 100,000 บาท และให้ความคุ้มครองเป็น 2 เท่าวงเงินคุ้มครอง 200,000 บาทในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากสาธารณภัย เช่นการโดยสารรถเมล์ รถไฟ ในลิฟท์ ไฟไหม้โรงหนัง โรงแรม และอาคารสาธารณะ พร้อมด้วยผลประโยชน์ชดเชยรายวันสำหรับการเข้ารักษาในโรงพยาบาล วันละ 500 บาท สูงสุด 100 วันต่อครั้ง โดยแผนสวัสดิการที่กล่าวมาข้างต้นได้รับสวัสดิการความคุ้มครองเท่ากันในทุกๆแผนที่เลือก เมื่อจบการบรรยายแต่ละครั้งหลายท่านสนใจพร้อมตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการด้วยการกรอกใบสมัครเพียง 1 แผ่น เขียน ชื่อ สกุล สมาชิก หน่วยงานที่สังกัด ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก ผู้รับประโยชน์ พร้อมระบุความสัมพันธ์ ที่อยู่ของสมาชิก และตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ 5 ข้อ เซ็นยินยอมให้หน่วยงานต้นสังกัดหักเงินเดือนเพื่อชำระเบี้ยประกันภัยกลุ่ม ณ ที่จ่าย พร้อมลายเซ็นชื่อสมาชิกผู้สมัคร ด้วยขั้นตอนง่ายๆดังที่อธิบายมาทำให้ข้าราชการและลูกจ้างที่เข้าร่วมรับฟัง ตัดสินใจไม่ยากนัก เพราะตลอดการแนะนำการกรอกข้อมูลทุกท่านที่สนใจได้เขียนไปพร้อมๆกับการอธิบาย โดยคงเหลือเพียงการเลือกแผนว่าจะตัดสินใจออมเงินเดือนละเท่าไร ตรงนี้ละครับ ที่หลายท่านที่มีเงินเหลือใช้จ่ายก็มักเลือก 500 บางท่านเลือก 1,000 ก็พากันชื่นชมปรบมือให้กับผู้มีวินัยในการออมที่มองเห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บางท่านลังเล และไม่แน่ใจว่าจะเป็นภาระในเรื่องค่าใช้จ่ายของอนาคตหรือไม่ พวกเราก็จะแนะนำให้ทุกท่านในที่ประชุมรับทราบว่า เพียงเลือกแผน 100 หรือแผน 200 ทุกท่านก็มีสิทธิ์ในสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น "ทำมาก ย่อมมีกว่าทำน้อย แต่การทำน้อย ย่อมดีกว่าไม่ทำซะเลย" พวกเราจึงเชิญชวนให้แต่ละท่านสร้างเสริมสวัสดิการติดไม้ติดมือพอเป็นเครื่องอุ่นใจไว้บ้าง แถมยังได้ให้เกียรติกับคุณพิชิต พิศนุภูมิ ได้มีโอกาสดูแลรับใช้ทุกท่านในวันนี้ และในอนาคต 
การประชุมแต่ละโรงเรียนใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ทำให้พวกเราเริ่มมองเห็นคุณค่าของเวลา และจำนวนวันทำงานที่มีอยู่อย่างจำกัด ผ่านการทำงานไปได้ประมาณสัปดาห์เศษ ผมต้องตัดสินใจปรับกลยุทธ์การทำงาน โดยเลือกให้คุณวาสนา พุ่มมั่นไปทำงานกับน้องเลขา คุณสังวาลย์ ภู่งาม ส่วนผมและคุณวิทยาลัย วงค์แก้ว ออกร่วมเดินทางไปทำงานเพื่อสร้างจำนวนหน่วยงานการเข้าพบให้เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของสมาชิกมีมากขึ้นตามลำดับ ประกอบกับการเติมเอกสารอย่างเป็นระบบ ในช่วงแต่ละระยะเวลา ทำให้นึกถึงประสบการณ์ครั้งในอดีตเมื่อมีการทำงานให้กับส่วนรวมโดยเป็นประธานสโมสรบ่ายวันเสาร์ให้กับเครือชุมทอง 24 ตั้งแต่การทำการประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ตัวแทนเกิดความสนใจเข้าร่วมประชุม การมีโอกาสไปร่วมกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นที่สโมสรไลก้า และอีกหลายๆกิจกรรมที่เคยทำมา ถูกนำมาประยุกต์ใช้ จัดทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์และส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานในพื้นที่


แต่ก่อนเวลาที่เราเห็นตำรวจทั่วๆไป เรามักจะเป็นห่วงว่า จะขอตรวจใบขับขี่เราหรือไม่ ทะเบียนเราขาดอายุหรือเปล่า พ.ร.บ.ของเราติดไว้หน้ารถหรือไม่นะ หรือว่ามีการตรวจจับความเร็ว หลายอย่างที่คิดเพราะเรากลัวโดนเรียก และถ้ามีข้อผิดพลาดคงต้องเสียเงิน เสียเวลาไปชำระค่าปรับ พอมาถึงวันนี้ วันที่พวกเรากำลังรณรงค์ให้ข้าราชการตำรวจมีสวัสดิการเพื่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเองและครอบครัว โดยโครงการที่ทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วม มีแผนการออมเงินตั้งแต่ 100,200,300,400,500 ไปจนถึง 2,000 บาท ลักษณะการออมและความคุ้มครองด้านทุนประกันชีวิตเป็นแบบเดียวกับโครงการสวัสดิการของข้าราชการครู  ต่างกันตรงที่ผลประโยชน์ค่าชดเชยรายวันสำหรับการเข้ารักษาในโรงพยาบาลวันละ 800 บาท (มากกว่าข้าราชการครู เป็นค่าชดเชยที่เป็นสิทธิประโยชน์ให้กับข้าราชการตำรวจ) ด้านความคุ้มครองอุบัติเหตุต่างๆไม่มี ดังนั้นผู้ที่สนใจสมัครจึงเลือกแผนตั้งแต่ 100 บวกสวัสดิการ 80 เป็น 180 หรือ 280,380 ,480,580 แล้วแต่ความสมัครใจของแต่ละท่าน ดังนั้นตลอดการเดินทางกลับจากการประชุมตามหน่วยงาน โรงเรียน โรงพัก หรือสถานที่ที่มีการจัดประชุมต่างๆ ช่วงเวลาแห่งการขับรถผ่านป้อมตำรวจ พวกเรามักแวะทักทาย นำเสนอโครงการให้ข้าราชการตำรวจได้รับทราบ บางคราว เรามองเห็นท่านตำรวจตั้งด่านตรวจ เราไม่ลังเลที่จะขออนุญาตท่านแจกเอกสารประชาสัมพันธ์พร้อมแนบใบสมัคร และบอกกล่าวให้ท่านได้รับทราบว่า โอกาสดีๆมาถึงทุกท่านแล้ว ฝากพิจารณาโครงการและตัดสินใจกรอกใบสมัครนำส่งได้ที่สถานีตำรวจของท่าน วันข้างหน้าผมจะแวะมารับนะครับ อย่ากังวลเรื่องเบี้ยประกัน เพราะจะทำเรื่องส่งหักเบี้ยประกัน ณ ที่จ่ายในวันข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน


      วันและเวลาของการทำโครงการของพวกเรา ถูกกำหนดไว้ตามช่วงเวลาที่มีประมาณ หนึ่งเดือนครึ่ง ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2541-31 กรกฎาคม 2541 ซึ่งเมื่อนับเวลาวันเสาร์อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ทำให้เรามีเวลาทำงานไม่ครบ 40 วันเพื่อสรุปการรับผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งหมด เพื่อให้ได้ผู้สมัครอย่างน้อย 30% ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของแต่ละหน่วยงาน และส่งเอกสารการสมัครให้กับฝ่ายพิจารณาของบริษัท เอไอเอ ทำการพิจารณา เพื่อให้เกิดความคุ้มครองอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยต้องจัดการทำรายชื่อเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด หักเบี้ยประกัน ณ ที่จ่าย ซึ่งผ่านความสมัครใจของสมาชิกที่มีการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร ทุกกระบวนการเป็นการทำงานอย่างทุ่มเท ทุกช่วงเวลาถูกใช้อย่างเป็นประโยชน์ ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำเข้ามาในแต่ละวัน แต่ละคืน เราต้องเรียนรู้ที่จะผันตัวเองจากหมู่บ้านหนึ่ง ไปอีกแห่งหนึ่ง ถ้ามองท้องฟ้าแล้วพบว่า ด้านไหนท้องฟ้าเปิด เพื่อเดินทางไปพบกับกลุ่มข้าราชการครู , ตำรวจ พวกเราพร้อมที่จะเลือกไปได้ทั้งด้านเหนือ ใต้ ออก ตก  เพื่อสร้างความเข้าใจโครงการสวัสดิการประกันหมู่ให้ทุกๆท่าน รับรู้ว่ามีโครงการดีๆ เกิดขึ้นในจังหวัดแห่งนี้ และกำลังจะได้รับความคุ้มครองในวันที่ 1 ตุลาคม 2541 
ที่สุดของความพยายามในการทำหน้าที่ผู้ประสานงานโครงการประกันหมู่ เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนเศษ ทำให้เรามีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 2,019 ราย คิดเป็นเบี้ยประกันหมู่รายเดือนเท่ากับ 352,630 บาท เมื่อหวนกลับไปคิดถึงหนึ่งจังหวัดของโครงการที่มีการโชว์ตัวเลขให้ผมได้ดูตอนนำใบตอบรับไปส่งบริษัทครั้งนั้น ก็รู้สึกดีใจที่ทีมงานของพวกเราแม้จะมีคนทำงานเพียงสี่คน ใช้เวลาที่จำกัดสามารถทำผลงานได้ขนาดนี้ก็มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง  ส่งผลให้การนับผลงานประกันหมู่เป็นเบี้ยประกันรวมทั้งปี จำนวน 4,231,560 บาท 

เป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญในของชีวิตของผม สำหรับการเดินทางที่แสนไกลจากภูมิลำเนาเดิม เป็นการสร้างพันธะสัญญาทางใจที่เกิดขึ้นกับมวลชน เป็นความรับผิดชอบทั้งหน้าที่ของการเป็นผู้ประสานงานโครงการสวัสดิการประกันหมู่ เป็นสำนึกที่ต้องตอบแทนน้ำใจจากผู้คนมากมายที่ให้โอกาสคนๆหนึ่งเข้ามารับใช้สังคม ผมพร้อมที่จะต่อเติมเสริมความมั่นใจให้กับข้าราชการที่ตั้งใจและตัดสินใจเข้าร่วมโครงการกับพวกเรา
ด้วยสมอง  กับสองมือ ที่สร้างสรรค์ 
จึงเกิดงาน  ที่ยิ่งใหญ่ ดั่งใจหวัง
กว่าจะรวบ  รวมเป็นชิ้น ก่อนสิ้นพลัง
ก็ถึงฝั่ง       ที่หมาย   ดั่งใจปอง
ฝ่าความยาก ลำบาก ขวากหนามกั้น
ต้องบากบั่น สู้ไป ด้วยใจผยอง
ปลุกรุกเร้า จิตใจ ให้ลำพอง
ฟ้าคะนอง  ฝนกระหน่ำ ต้องทำงาน
สวรรค์รู้  เป็นใจ ให้โอกาส
แม้จะพลาด บางครั้ง กลับสร้างฐาน
ให้เป็นครู เรียนรู้  คู่สถานการณ์
เป็นวันวาน ให้จดจำ ทำต่อไป



ในโอกาสที่บริษัท เอไอเอ ครบรอบ 60 ปีทางฝ่ายประกันหมู่ได้จัดงานสัมนา โดยเชิญวิทยากรผู้ประสบความสำเร็จในการขายประกันหมู่กับหน่วยงานใหญ่ เป็นจำนวนมาก อาทิเช่น คุณรัตนา จันทร์เล็ก คุณศิรนุช สะวิคามิน คุณวศิน ทองประเสริฐ คุณจักรเพ็ชร์ ประดิษฐ์ผล (ตำนานเดิมของการขายกลุ่มข้าราชการครู) คุณสกุณา โลหิตนาวี คุณสิทธิโชค กตเวทิตาธรรม พร้อมด้วยผม พิชิต พิศนุภูมิ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้องบอลล์รูม วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2541 ช่วงบ่าย เป็นเวลาเดียวกับคุณแอ๊ด คาราบาว และคุณปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ แสดงคอนเสริต์อีกด้านหนึ่ง พี่ตุ๋ม พิชิต พิศนุภูมิ ก็ขึ้นบรรเลงเพลงใกล้ตา ไกลตีน ของพี่หงา สุรชัย จันทิมาธร หนึ่งเพลงก่อนบรรยายประสบการณ์ทำงานในภาคสนาม แบ่งปันเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อมวลสมาชิกที่ให้ความสนใจเข้ามารับฟังอย่างคับคั่ง







ติดตามตอนต่อไป กับการเดินทางอย่างต่อเนื่องในการสร้างสวัสดิการประกันหมู่